วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2561
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
ภาษาไทย
ผังมโนทัศน์สาระการเรียนรู้

คำนาม ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ สภาพ อาการ
| |
ประเภท
๑.นามทั่วไป (สามานยนาม)
๒.นามเฉพาะ (วิสามานยนาม)
๓.นามหมวดหมู่ (สมุหนาม)
๔.นามบอกอาการหรือความเป็นอยู่ (อาการนาม)
๕.นามบอกลักษณะ (ลักษณะนาม)
|
ตัวอย่าง
กระเป๋า โทรศัพท์
สมชาย กรุงเทพฯ
กองทหาร ฝูงลิง
ความคิด ความเจริญ การแข่งขัน
หมอน ๑ ใบ
|
ข้อสังเกต
- อาการนาม ได้แก่ ความ+วิเศษณ์/กริยาเกี่ยวกับจิตใจ และการ+กริยาทั่วไป แต่หากความ/การ+นามทั่วไป จัดเป็นสามานยนาม เช่น ความสุข การเดิน (อาการนาม) การแพทย์ ความอาญา (สามานยนาม)
- ลักษณนามจะตามหลังนามหรือคำบอกจำนวน แต่สมุหนามจะอยู่หน้านาม เช่น นก ๑ ฝูง นกฝูงนี้ (ลักษณนาม) ฝูงนก (สมุหนาม)
|
คำสรรพนาม ใช้แทนนามที่กล่าวไปแล้ว เพื่อไม่ต้องกล่าวนามนั้นซ้ำอีก
| |
ประเภท
๑.สรรพนามที่ใช้ในการพูดจา (บุรุษสรรพนาม)
๒.สรรพนามแสดงคำถาม (ปฤจฉาสรรพนาม)
๓.สรรพนามแทนนามบอกการชี้ซ้ำ (วิภาคสรรพนาม)
๔.สรรพนามบอกความไม่เจาะจง (อนิยมสรรพนาม)
๕.สรรพนามบ่งเฉพาะ/ชี้ระยะ (นิยมสรรพนาม)
๖.สรรพนามเชื่อมประโยค (ประพันธสรรพนาม)
|
ตัวอย่าง
ฉัน เธอ เขา
ใคร อะไร ที่ไหน ผู้ใด
ทหารบ้างยิงปืน บ้างขุดสนามเพลาะ
ใคร ๆ ก็ชอบคนดี
โน่นคือผลงานนักเรียนชั้น ม. ๑ นี่คือเรียงความของฉัน
เพชรอันมีรอยร้าวย่อมไร้ค่า
|
ข้อสังเกต
-วิภาคสรรพนาม ใช้แทนคำนามที่กล่าวมาแล้ว หากไม่ได้ใช้แทนนามข้างหน้าจะถือว่าเป็นคำวิเศษณ์ เช่น นักเรียนต่างอ่านหนังสือ (วิภาคสรรพนาม) ต่างคนต่างทำงาน (คำวิเศษณ์)
- ปฤจฉาสรรพนาม ใช้ถามเพื่อต้องการคำตอบ แต่อนิยมสรรพนาม ใช้ในเชิงปรารภ ไม่ได้ต้องการคำตอบ เช่น อะไรหาย (ปฤจฉาสรรพนาม) รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา (อนิยมสรรพนาม)
- ประพันธสรรพนาม ได้แก่ ที่ ซึ่ง อัน ใช้แทนคำนามข้างหน้าและเชื่อมประโยค หากไม่ได้แทนคำนามข้างหน้าไม่จัดว่าเป็นสรรพนาม เช่น นักเรียนที่ทำผิดย่อมได้รับโทษ (ประพันธสรรพนาม)
|
คำกริยา ใช้แสดงการกระทำของประธาน
| |
ประเภท
๑.กริยาไม่ต้องมีกรรม (อกรรมกริยา)
๒.กริยาที่ต้องมีกรรม (สกรรมกริยา)
๓.กริยาที่ไม่ต้องมีนาม/สรรพนามมารับ แต่ไม่ใช่กรรม (วิตรรถกริยา)
๔.กริยาช่วย (กริยานุเคราะห์)
|
ตัวอย่าง
ลมพัด เต่าคลาน
คนสวนปลูกมะพร้าว
เป็น เหมือน คือ เท่า ราวกับ
เขากำลังเขียนหนังสือ เขาไปแล้ว
|
ข้อสังเกต
-กริยาสามารถทำหน้าที่อย่างวิเศษณ์และเป็นประธาน/กรรมในประโยคได้ (กริยาสภาวมาลา) เช่น เขากินมะม่วงสุก (วิเศษณ์) เล่นกีฬาทำให้สุขภาพแข็งแรง (ประธาน) ฉันไม่ชอบดื่มสุรา (กรรม)
|
คำวิเศษณ์ ใช้ขยายคำหรือข้อความให้ชัดเจนขึ้น
| |
ประเภท
๑.วิเศษณ์บอกลักษณะ (ลักษณวิเศษณ์)
๒.วิเศษณ์บอกเวลา (กาลวิเศษณ์)
๓.วิเศษณ์บอกสถานที่ (สถานวิเศษณ์ )
๔.วิเศษณ์บอกปริมาณหรือจำนวน (ประมาณวิเศษณ์)
๕.วิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะ (นิยมวิเศษณ์)
๖.วิเศษณ์บอกความไม่ชี้เฉพาะ (อนิยมวิเศษณ์)
๗.วิเศษณ์แสดงคำถาม (ปฤจฉาวิเศษณ์)
๘.วิเศษณ์แสดงคำขาน/โต้ตอบ (ประติชญาวิเศษณ์)
๙.วิเศษณ์แสดงปฏิเสธ/ไม่ยอมรับ (ประติเษธวิเศษณ์)
๑๐.วิเศษณ์เชื่อมประโยค (ประพันธวิเศษณ์)
|
ตัวอย่าง
หวาน เปรี้ยว ใหญ่ กว้าง กลม แบน ดี เลว
เช้า สาย อดีต ปัจจุบัน ก่อน หลัง นาน เร็ว
ใกล้ ไกล บน ล่าง บก น้ำ ซ้าย ขวา
มาก น้อย หนึ่ง สอง ที่หนึ่ง หลาย หมด จุ
นี้ นั้น ทั้งนี้ เฉพาะ เทียว แน่นอน จริง เอง
อะไร ไหน อย่างไร ใด เมื่อไร ใคร
ทำไม กี่ อันใด สิ่งใด หรือ ทำไม อะไร ไหม ไหน
ครับ ขา ค่ะ ขอรับ จ๋า จ๊ะ โว้ย
ไม่ มิใช่ มิได้ หาไม่ อย่า บ่
ที่ ซึ่ง ที่ว่า อัน ให้ อย่างที่
|
ข้อสังเกต
-ที่ ซึ่ง อัน อยู่ติดกับคำกริยา/วิเศษณ์ เป็นประพันธวิเศษณ์ แต่หากใช้แทนนามข้างหน้า เป็นประพันธสรรพนาม เช่น เขาเป็นคนเก่งที่น่ายกย่อง (ประพันธวิเศษณ์) คนที่เดินอยู่นั้นเป็นเพื่อนฉัน (ประพันธสรรพนาม)
-สถานวิเศษณ์ ใช้บอกสถานที่ แต่หากมีคำนาม/สรรพนามตามหลังจะถือว่าเป็นคำบุพบท เช่น บ้านเขาอยู่ไกล (สถานวิเศษณ์) แม่ยืนใกล้ฉัน (บุพบท)
-คำวิเศษณ์สามารถวางไว้หน้านาม/กริยา หลังนาม/กริยา หน้า/หลังประโยคก็ได้
| |
คำบุพบท ใช่เชื่อมคำหรือกลุ่มคำเพื่อบอกลักษณะหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
| |
ประเภท
๑.นำหน้าคำเพื่อบอกลักษณะเป็นเครื่องใช้/อาการร่วม
๒.นำหน้าคำเพื่อบอกลักษณะเป็นผู้รับ/ความประสงค์
๓.นำหน้าคำเพื่อบอกสถานที่ต้นทางหรือเหตุต้นเค้า
๔.นำหน้าคำเพื่อบอกสถานที่
๕.นำหน้าคำเพื่อบอกความเป็นเจ้าของ
๖.นำหน้าเพื่อบอกเวลา
๗.นำหน้าคำเพื่อบอกสาเหตุ
|
ตัวอย่าง
แจกันใบนี้ทำด้วยกระดาษ คนร้ายรับสารภาพโดยดี
สละเวลาเพื่อส่วนรวม ยื่นคำร้องต่อเจ้าหน้าที่
เขามาจากสุพรรณบุรี
ยายอยู่ที่บ้าน ผักตบลอยในน้ำ
อนุสรณ์แห่งความรัก พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒
ก่อนเพล
เพราะความดี เนื่องแต่ภัยแล้ง
|
คำสันธาน ใช้เชื่อมคำ ประโยค/ข้อความ ข้อความที่ถูกเชื่อมสามารถแยกเป็นประโยคได้มากกว่า ๑ ประโยค
| |
ประเภท
๑.ความต่อเนื่องกันหรือคล้อยตามกัน
๒.ความขัดแย้งกัน
๓.ความเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
๔.ความเป็นเหตุเป็นผลแก่กัน
๕.เชื่อมใจความขยายกับใจความหลัก เพื่อบอกเวลา บอกความเปรียบเทียบ บอกเหตุผล
|
ตัวอย่าง
แล้ว...จึง และ พอ...ก็
แต่ แต่ก็ กว่า...ก็ แต่ทว่า
ฉะนั้น...ก็ มิฉะนั้น หรือ
เพราะ ฉะนั้นจึง จึง
เขาเดินไปหน้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงคนเปิดประตู
แม่รักลูกมากกว่าลูกรักแม่
นภาไม่ยอมไปอยู่กับแม่เพราะว่าเป็นห่วงยาย
|
คำอุทาน ใช้แสดงอารมณ์หรือความรู้สึกในการพูดจา
| |
ประเภท
๑.อุทานแสดงอารมณ์
๒.อุทานเสริมบท
|
ตัวอย่าง
เอ๊ะ! อ้าว อ๋อ! ฮื่อ! อุ๊ย! ว๊าย! พุทโธ่! โถ!
คำเสริม เช่น ลืมหูลืมตา กินข้าวกินปลา
คำสร้อย เช่น แลนา เอย เฮย นา
|
สรุป
คำในภาษาไทยแบ่งตามความหมายและหน้าที่ได้ ๗ ชนิดได้แก่ คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำวิเศษณ์ คำบุพบท คำสันธาน และคำอุทาน ซึ่งคำแต่ละชนิดจะมีลักษณะและหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป
คำสำคัญ ชนิดของคำ, นาม, สรรพนาม, กริยา, วิเศษณ์, บุพบท, สันธาน, อุทาน
ลูกเสือ
คำปฏิญาณของลูกเสือ
ด้วยเกียรติของข้า ข้าสัญญาว่า
ข้อ 1. ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ข้อ 2. ข้าจะช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ
ข้อ 3 . ข้าจะปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ
กฎของลูกเสือ มี 10 ข้อ
ข้อ 1. ลูกเสือมีเกียรติเชื่อถือได้
ข้อ 2. ลูกเสือมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และซื่อตรง
ต่อผู้มีพระคุณ
ข้อ 3. ลูกเสือมีหน้าที่กระทำตนให้เป็นประโยชน์และช่วยเหลือผู้อื่น
ข้อ 4. ลูกเสือเป็นมิตรของคนทุกคนและเป็นพี่น้องกับลูกเสืออื่นทั่วโลก
ข้อ 4. ลูกเสือเป็นมิตรของคนทุกคนและเป็นพี่น้องกับลูกเสืออื่นทั่วโลก
ข้อ 5. ลูกเสือเป็นผู้สุภาพเรียบร้อย
ข้อ 6. ลูกเสือมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์
ข้อ 7. ลูกเสือเชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดา และผู้บังคับบัญชาด้วยความ
เคารพ
ข้อ 8. ลูกเสือมีใจร่าเริง และไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก
ข้อ 9. ลูกเสือเป็นผู้มัธยัสถ์
ข้อ 10. ลูกเสือประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ
คริสต์ศาสนา
บัญญัติ 10 ประการ
- อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา คือ พระยาห์เวห์
- อย่าทำรูปเคารพและอย่าเคารพรูปเคารพ
- ห้ามใช้พระนามของพระยาห์เวห์ไปใช้ในทางที่ผิด
- จงถือวันสะบาโต(วันเข้าโบสถ์ หรืออาจหมายถึง วันอาทิตย์)เป็นวันบริสุทธิ์
- จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า
- ห้ามฆ่าคน
- ห้ามล่วงประเวณีสามีภรรยาของเขา
- ห้ามลักขโมย
- ห้ามเป็นพยานเท็จและห้ามใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
- ห้ามโลภในของของผู้อื่น
พุทธศาสนา
สิ่งเคารพสูงสุด
พระรัตนตรัย คือ สรณะที่พึ่งอันประเสริฐในศาสนาพุทธ สรณะ หมายถึง สิ่งที่ให้ศาสนิกชนถือเอาเป็นแบบอย่าง หรือให้เอาเป็นตัวอย่าง แต่มิได้หมายความว่าเมื่อเคารพแล้วจะดลบันดาลสิ่งต่าง ๆ ตามต้องการได้ พระรัตนตรัยนั้นประกอบด้วยองค์สาม (ไตรสรณะ) ได้แก่
- พระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่บำเพ็ญสั่งสมบารมีมาหลายภพชาติ[14] จนชาติสุดท้ายเกิดเป็นมนุษย์แล้วอาศัยความเพียรพยายามและสติปัญญาปฏิบัติจนได้บรรลุสิ่งที่ต้องการคือธรรมอันเป็นเครื่องออกจากทุกข์ แล้วจึงทรงชี้แนะหรือชี้ทางให้คนอื่นทำตาม
- พระธรรม คือ คำสอนว่าด้วยธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วว่าทำให้พ้นจากทุกข์
- พระสงฆ์ คือหมู่ชนหรือชุมชนของพระสาวก ไม่ว่ามนุษย์หรือเทวดา ที่ทำตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้าแล้ว ประสบผลสำเร็จพ้นทุกข์ตามพระพุทธเจ้า
กิจในอริยสัจ 4[แก้]
กิจในอริยสัจ คือสิ่งที่ต้องทำต่ออริยสัจ 4 แต่ละข้อ ได้แก่
- ปริญญา - ทุกข์ ควรรู้ คือการทำความเข้าใจปัญหาหรือสภาวะที่เป็นทุกข์อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา
- ปหานะ - สมุทัย ควรละ คือการกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นการแก้ปัญหาที่เหตุต้นตอ
- สัจฉิกิริยา - นิโรธ ควรทำให้แจ้ง คือการเข้าถึงภาวะดับทุกข์ หมายถึงภาวะที่ไร้ปัญหาซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย
- ภาวนา - มรรค ควรเจริญ คือการฝึกอบรมปฏิบัติตามทางเพื่อให้ถึงความดับแห่งทุกข์ หมายถึงวิธีการหรือทางที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ไร้ปัญหา
สุขศึกษา
ความหมายและการจำแนกประเภทของสารเสพติด
จากความหมายของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 หรือความหมายตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ สามารถสื่อความหมายของสารเสพติดได้ตรงกันว่าหมายถึง สารหรือยา หรือวัตถุชนิดใดๆ ที่เมื่อเสพเข้าร่างกายจะโดยวิธีใดๆก็แล้วแต่ จะเป็นผลต่อร่างกายและจิตใจของผู้เสพในลักษณะสำคัญ 4 ประการ คือ
1. ผู้เสพจะเกิดความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง
2. ต้องเพิ่มขนาดหรือปริมาณของสารเสพติดนั้นขึ้นเรื่อยๆ
3. ต้องตกอยู่ใต้อำนาจบังคับอันเกิดจากฤทธิ์ของสารเสพติดนั้นๆ ทำให้หยุดไม่ได้และเกิดอาการขาดยา เมื่อไม่ได้เสพ
4. ผู้เสพจะมีสุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลง
จำแนกประเภทได้หลายวิธีที่สำคัญ คือ
จำแนกตามการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ได้ 4 ประเภท คือ
1. กดประสาท ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน โคเคอีน เฮโรอีน โซเดียมเซโคบาร์ บิทาล(เหล้าแห้ง) ไดอะซีแฟม แล็กเกอร์ คลอไดอะซีป๊อกไซด์ ทินเนอร์ กาว ฯลฯ
2. กระตุ้นประสาท ได้แก่ แอมเฟตามีน (ยาบ้า ยาม้า ยาขยัน) อีเฟดีน (ยาอี) โคเคอีน กระท่อม ฯลฯ
3. หลอนประสาท ได้แก่ DMT LSD เห็ดขี้ควาย และสารระเหยต่างๆ
4. ออกฤทธิ์ผสมผสาน ซึ่งครั้งแรกกระตุ้นประสาท แต่เมื่อเสพมากขึ้นก็จะกดประสาท และทำให้ประสาทหลอนได้ ได้แก่ กัญชา กระท่อม
จำแนกตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่5) พ.ศ. 2545 จำแนกได้ 5 ประเภท คือ
1.ยาเสพติดชนิดให้โทษรายแรง ได้แก่ เฮโรอีน อะซีทอร์ฟีน แอมเฟตามีน ฯลฯ
2.ยาเสพติดให้โทษทั่วไป ได้แก่ ฝิ่นมอร์ฟีน โคเคอีน เอธิลมอร์ฟีน ฯลฯ
3.ยาเสพติดให้โทษชนิดเป็นตำรับยาที่มียาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 1และ 2 ปรุงผสมอยู่ด้วย ได้แก่ ยาแก้ไอ ยาแก้ท้องเสียที่มีฝิ่น โคเคอีนเป็นส่วนผสม
4.สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษประเภท 1 และ 2 ได้แก่ อะเซติลคอไรด์ อะเซติกแอนไฮไดรด์
5.พืชเสพติดให้โทษ ได้แก่ กัญชา กระท่อม เห็ดขี้ควาย ซึ่งจัดเป็นยาเสพติดที่ไม่เข้าประเภท 1 และ 4
พลศึกษา
พลศึกษาในเชิงร่างกาย ก็คือการทำให้ร่างกายมีพลังที่เป็นรูปธรรม ประกอบด้วย
1 ความแข็งแรง เช่น ข้อมือ สามารถยกสิ่งของหนักได้
2 ความเร็ว เช่น การวิ่งระยะสั้น 50 เมตร ในเวลาที่กำหนด
3 ความอ่อนตัว เช่น การก้มตัว เข่าตึง ไปหยิบของบนพื้น
4 ความคล่องแคล่ว เช่น การโยกลำตัวหลบหลีกสิ่งกีดขวาง
5 ความทนทาน เช่น การเดินเร็ว หรือวิ่งระยะทางไกล เป็นเวลานาน
6 ระบบไหลเวียนโลหิต เช่น การที่เหงื่อออกจากร่างกาย และการจับชีพจรตามเกณฑ์ที่กำหนด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)